วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ไม่ปลอดภัย! พบคลิปไม่เหมาะสมบน “ยูทิวบ์คิดส์”

ไม่ปลอดภัย! พบคลิปไม่เหมาะสมบน “ยูทิวบ์คิดส์”
        ยูทิวบ์คิดส์ (YouTube Kids) แอปซึ่งเปิดตัวในฐานะแอปสำหรับเด็ก และครอบครัวในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประสบปัญหาอีกแล้ว หลังพบว่ามีคอนเทนต์ที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กปรากฏอยู่บนแอปดังกล่าว 
       
       สาเหตุที่แอปยูทิวบ์คิดส์ (YouTube Kids) ซึ่งเป็นแอปที่ยูทิวบ์ (YouTube) พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้การเล่นยูทิวบ์ปลอดภัยสำหรับเด็กถูกร้องเรียนในครั้งนี้มาจากการพบข้อมูลว่า แอปมีการเชื่อมต่อเข้าไปยังข้อมูลที่ไม่เหมาะสม โดยผู้ที่พบว่า มีลิงก์ดังกล่าวปรากฏอยู่ในยูทิวบ์คิดส์ครั้งนี้เป็นกลุ่มทำงานเพื่อเด็ก 2 แห่ง และพวกเขาได้เผยว่า มีคลิปวิดีโอบางคลิปที่อาจเป็นอันตรายสำหรับเด็กปรากฏอยู่บนแอปดังกล่าว
       
       นั่นจึงทำให้มีการร้องเรียนไปยัง The US Regulator Federal Trade Commission และทางยูทิวบ์ (YouTube) ก็แจ้งว่าจะทำการลบคลิปวิดีโอเหล่านั้นแล้วด้วย
       
       ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับคลิปดังกล่าวคือ มีการใช้ภาษาเกี่ยวกับเพศ การนำโรครักเด็กมาเล่นตลก การใช้ยาเสพติด และคลิปของผู้ใหญ่กำลังคุยกันเกี่ยวกับภาพลามกอนาจาร การฆ่าตัวตาย และการใช้ความรุนแรง
       
       “กูเกิลสัญญาว่า ยูทิวบ์คิดส์จะนำเสนอข้อมูลที่เหมาะสมสำหรับเด็ก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ตามนั้น” ทนายความ Aaron Mackey ตัวแทนของทางกลุ่มเผย
       
       ด้านตัวแทนจากยูทิวบ์เผยว่า “การทำงานของยูทิวบ์คิดส์คือ การทำให้วิดีโอบนระบบเหมาะสมสำหรับการรับชมภายในครอบครัว ซึ่งเรายินดีมากที่มีผู้ติดตามรายการ และแจ้งรายละเอียดของคลิปที่ไม่เหมาะสมเข้ามา และเราพยายามทำให้ทุกคนสามารถแจ้งข้อมูลดังกล่าวเข้ามาได้ตลอดเวลา โดยจะมีทีมงานคอยตรวจสอบตลอด 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน เพื่อจะได้ทำการลบคลิปเหล่านั้นออกไปจากแอป”
       
       ไม่เพียงเท่านั้น ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ชื่อของยูทิวบ์คิดส์ก็เคยตกเป็นประเด็นมาแล้ว เมื่อมีกลุ่มองค์กรเพื่อเด็ก และผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ยูทิวบ์คิดส์ปล่อยให้มีคลิปวิดีโอโฆษณาสินค้าจากบริษัทแมคโดนัลด์ (McDonald) แมทเทล (Mattel) และแฮสโบร (Hasbro) ปรากฏอยู่บนแอป 

ที่มา : http://manager.co.th/CyberBIZ/default.html

บตา "เฟซบุ๊ก" สู่แพลตฟอร์มสำหรับผลิตสื่อเต็มตัว หลังซื้อกิจการ "Tugboat Yards"

จับตา เฟซบุ๊ก สู่แพลตฟอร์มสำหรับผลิตสื่อเต็มตัว หลังซื้อกิจการ Tugboat Yards
แอนดรูว์ แองเคอร์ ซีอีโอของ Tugboat Yards
        เป็นเรื่องขึ้นมาอีกแล้ว หลังมีรายงานระบุว่า เฟซบุ๊ก (Facebook) โซเชียลมีเดียชื่อดัง ซื้อกิจการสตาร์ทอัปจากแคลิฟอร์เนีย "Tugboat Yards" ซึ่งให้บริการเครื่องมือสำหรับรับชำระเงินจากผู้อ่านเพื่อสำนักพิมพ์ออนไลน์ขนาดกลางและเล็ก ส่งผลให้มีนักวิเคราะห์ออกมาคาดการณ์กันว่า นี่อาจเป็นความทะเยอทะยานครั้งใหม่ของเฟซบุ๊กในการก้าวสู่ธุรกิจสื่อที่น่าจับตามองอย่างมากก็เป็นได้
       
       นี่อาจไม่ใช่แค่การแนะนำหนังสือสัปดาห์ละหนึ่งเล่มจากซีอีโอเฟซบุ๊กเหมือนที่เคยถูกนำไปล้อว่าเลียนแบบนักจัดรายการชื่อดังอย่างโอปราห์ วินฟรีย์ อีกต่อไป แต่อาจเป็นการมุ่งมั่นสร้างแพลตฟอร์มเพื่อการอ่านขึ้นมาบนเฟซบุ๊ก หลังจากที่มีรายงานก่อนหน้านี้ว่า โซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่รายนี้ได้จับมือกับผู้ผลิตสื่อชื่อดังจำนวนมากในการนำบทความของตนเองมาเผยแพร่อย่างเป็นทางการ
       
       โดยทางซีอีโอของ Tugboat Yards บริษัทที่กำลังจะปิดตัวลงในวันที่ 30 มิถุนายน 2015 อย่างแอนดรูว์ แองเคอร์ (Andrew Anker) ได้มีการประกาศในบล็อกของตัวเองว่า บริษัทรู้สึกตื่นเต้นและยินดีมากที่จะประกาศว่าบริษัทจะปิดตัวลงในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ซึ่งหลังจากนี้ บริษัทจะไปร่วมงานกับเฟซบุ๊ก โปรดักซ์ ทีม ในการพัฒนาโปรดักซ์สำหรับสื่อ เช่น ข่าว และวิดีโอ
       
       สำหรับ Tugboat Yards นั้นก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2012 โดยเป็นผลงานการพัฒนาของแองเคอร์ในฐานะซีอีโอและ Brad Whittaker ผู้ร่วมก่อตั้ง โดยแนวคิดของบริษัทนั้นมองว่า การสนับสนุนสื่อที่ตนเองชื่นชอบเป็นสิ่งที่ผู้อ่านสมควรทำ ดังนั้นบริษัทจึงพัฒนาแอปรับชำระเงินสำหรับสำนักพิมพ์ในการรับชำระเงินค่าสนับสนุนจากผู้อ่านของตนเอง โดยรองรับคอนเทนต์ต่าง ๆ ทั้ง Podcast, แอป, บล็อก, วิดีโอแชนแนล หรือแม้กระทั่งจดหมายข่าว
       
       แน่นอนว่าความโดดเด่นของแองเคอร์ ซีอีโอของบริษัทคือสิ่งที่ตอบโจทย์ความทะเยอทะยานของเฟซบุ๊กในด้านสิ่งพิมพ์ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากบริการรับชำระเงินจากผู้อ่านคือธุรกิจที่กำลังเติบโตสูง และทำให้นักพัฒนาคอนเทนต์อิสระสามารถสร้างงานดี ๆ ได้โดยไม่ต้องง้อสำนักพิมพ์เหมือนในอดีต
       
       การผนวกเทคโนโลยีดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กเท่ากับเป็นการเปิดประตูบานใหญ่ให้กับผู้ที่ต้องการสร้างงานเขียน และวิดีโอของตนเองในการสร้างรายได้ ไม่เพียงเท่านั้น หากต้องการอ่านงานจากสื่อที่มีชื่อเสียง เฟซบุ๊กยังมีสื่อยักษ์ใหญ่อย่างนิวยอร์กไทม์, Buzzfeed, เนชั่นแนล จีโอกราฟิก เข้าร่วมเป็นพันธมิตรแล้วด้วย
       
       ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นแนวคิดและความทะเยอทะยานที่ยากจะต้านทานได้ของโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่รายนี้ กับการมุ่งมั่นพัฒนาบริการสื่อสิ่งพิมพ์ภายใต้แพลตฟอร์มของตนเอง เพราะแน่นอนว่า ยิ่งผู้เล่นเฟซบุ๊กตามลิงค์ไปอ่านบนเว็บไซต์อื่น ๆ มากเท่าไร โอกาสที่จะได้เห็นโฆษณาจากเฟซบุ๊กก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น ดังนั้น การจับมือกับสื่อที่มีชื่อเสียง บวกกับการเปิดทางให้นักพัฒนาคอนเทนต์รายย่อยออกมาพัฒนาสื่อของตนเองบนแพลตฟอร์มของ "เฟซบุ๊ก" อาจเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการควบคุมทุกอย่างเอาไว้ในมือ 

ที่มา: http://manager.co.th/CyberBIZ/default.html

วันทูวันคอนแทคส์ มั่นใจรายได้ปีนี้ทะลุ 1,000 ล้านบาท

วันทูวันคอนแทคส์ มั่นใจรายได้ปีนี้ทะลุ 1,000 ล้านบาท
นางสุกัญญา วนิชจักร์วงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด
        วันทูวันคอนแทคส์เผยรายได้ปีที่ผ่านมาพลาดเป้าที่ตั้งไว้ 1,000 ล้านบาท เพราะงานเลื่อน ทำให้ปิดยอดได้แค่ 780 ล้านบาท ส่วนปีนี้มั่นใจทะลุ 1,000 ล้านบาทแน่นอน เพราะมีรายได้ในมือแล้วกว่า 800 ล้านบาท เผยกลยุทธ์การตลาดจะมุ่งนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้ลูกค้าเก่า และจัดอีเวนต์เพื่อสร้างลูกค้าใหม่ ชี้ปีนี้ภาครัฐยังไม่มีงานเพิ่มแต่รายได้จะเข้ามาเท่าเดิมเพราะเป็นสัญญาระยะยาว ส่วนตลาดต่างประเทศพร้อมรุก CLMV ด้วยการบุกพม่าเพิ่ม
       
       นางสุกัญญา วนิชจักร์วงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด ผลการดำเนินงานปีที่แล้วไม่เป็นไปตามเป้าเพราะมีงานของลูกค้าที่เลื่อนมาปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานของหน่วยงานภาครัฐ ทำให้ปิดยอดรายได้ทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 780 ล้านบาท จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ 1,000 ล้านบาท ส่วนในปีนี้ตั้งเป้ายอดรายได้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท โดยตอนนี้มีโครงการอยู่ในมือแล้ว 800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าในไตรมาส 2 น่าจะมีรายได้เข้ามาให้เห็นแล้ว 90% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้
       
       ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาตลาดคอนแทคส์เซ็นเตอร์โตประมาณ 20% ซึ่งในปีนี้ตลาดก็น่าจะโต 20% เช่นกัน เนื่องจากมีข่าวลือต่างๆ อาทิ แผ่นดินไหว รวมไปถึงการจัดสรรงบประมาณของภาครัฐที่ยังไม่ค่อยชัดเจน ทำให้ยังต้องคอยติดตามสถานการณ์กันต่อไป สำหรับกลยุทธ์การตลาดในปีนี้ จะเน้นการเข้าหาลูกค้าเก่าเพื่อนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลูกค้ามากขึ้น ส่วนลูกค้าใหม่จะมีการจัดสัมมนา จัดอีเวนต์ เทรนด์เทคโนโลยีใหม่ รวมไปถึงวิธีการประหยัดต้นทุน เพื่อให้ลูกค้ารู้จักกับบริการของวันทูวัน
       
       “ตลาดคอนแทคเซ็นเตอร์ค่อนข้างโต ซึ่งวันทูวันมีลูกค้าประมาณ 10 กลุ่ม อาทิ ภาครัฐ พลังงาน เทเลคอม เรียลเอสเตส โรงพยาบาล การศึกษาฯลฯ โดยในตลาดที่มีการเติบโตจะเป็นของภาคการเงินการธนาคาร ธุรกิจประกัน เรียลเอสเตท และสายการบิน โดยเฉพาะธุรกิจประกันที่มีการเติบโตและแข่งขันกันมากทำให้คอนแทคเซ็นเตอร์ได้รับความนิยมมาก”
       
       นางสุกัญญา กล่าวว่า ปัจจุบันการแข่งขันธุรกิจคอนแทคเซ็นเตอร์นั้นจะมีคู่แข่งประมาณ 2-3 ราย โดยมีลูกค้าประมาณ 50 ราย ซึ่งจุดแข็งของวันทูวันอยู่ที่การให้บริการที่มากกว่าที่สัญญากับลูกค้า โดยปัจจุบันตลาดคอนแทคเซ็นเตอร์นี้แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.Customer Service 2.ตลาดผ่าน Cable TV 3.ตลาดการขายผ่าน Telephone และ 4.ตลาดตามหนี้ โดยในตลาดที่ 1 วันทูวันมีส่วนแบ่ง 60% ส่วนตลาดกลุ่มที่ 2 และ 3 จะเป็นการให้เช่าระบบมากกว่า
       
       “3 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานรัฐยังไม่ได้พัฒนาการให้บริการประชาชนมากนัก ในขณะที่เอกชนมีการตื่นตัวในเรื่องนี้มากกว่า ทำให้วันทูวันมองว่าในปีนี้ตลาดเอกชนน่าจะไปได้ดีกว่า แต่สัดส่วนรายได้ของภาครัฐจะยังคงอยู่ที่ 40% เหมือนเดิม เนื่องจากเป็นการเช่าใช้ระยะยาว นอกจากนี้ ในส่วนของการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานนั้น กำลังศึกษาเรื่องการนำคลาวด์มาใช้ในการการแบ็กอัปข้อมูลและขยายระบบงาน โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะทำเองหรือเช่าใช้”
       
       นอกจากนี้ ในปีนี้จะมีการขยายพื้นที่คอนแทคเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นประมาณ 200-300 ที่นั่ง เพราะตอนนี้เต็มความสามารถในการให้บริการแล้ว โดยในส่วนของการรุกตลาดต่างประเทศนั้นจะมีการขยายเข้าไปในกลุ่มประเทศ CLMV นอกจากกัมพูชาที่ทำตลาดอยู่แล้ว จะมองที่ประเทศพม่าก่อนว่าจะลงทุนตรงไหน รวมไปถึงการหาพาร์ตเนอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่จะเน้นต่างประเทศมากกว่า โดยตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านบริการคอมซูเมอร์แมนเนจเมนต์โซลูชันในกลุ่มประเทศ CLMV
       
       Company Related Link :

       วันทูวัน

ที่มา: http://manager.co.th/CyberBIZ/default.html

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

9 สื่อยักษ์พร้อมใจเปิดให้อ่านบทความผ่าน Instant Articles บน FB แล้ว

9 สื่อยักษ์พร้อมใจเปิดให้อ่านบทความผ่าน Instant Articles บน FB แล้ว
        เฟซบุ๊ก เผยโฉมฟีเจอร์ใหม่ “Instant Articles” ที่ได้สื่อยักษ์ใหญ่ 9 ราย อย่าง The New York Times และ BuzzFeed หรือแม้กระทั่ง National Geographic เข้าร่วมเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการ โดยบทความจากพาร์ตเนอร์เหล่านี้จะได้รับการเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมภาพคมชัดไม่ต่างจากบนหน้ากระดาษอีกด้วย
       
       จากในอดีตที่การเผยแพร่บทความของสื่อยักษ์ใหญ่ผ่านโซเชียลมีเดีย จะใช้การวางลิงก์เพื่อให้ผู้อ่านคลิกลิงก์ไปยังเว็บไซต์เจ้าของบทความ แต่หลังจากนี้เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคถัดไปของ “สื่อ” เมื่อบริการ Instant Article จากเฟซบุ๊กได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งทำให้บทความต่างๆ เหล่านั้นถูกเผยแพร่ผ่านเซิร์ฟเวอร์ของเฟซบุ๊กโดยตรง และมีการคาดว่าจะสร้างความพึงพอใจให้ยูสเซอร์ได้มากขึ้น เนื่องจากมีสถิติระบุว่า ยูสเซอร์แต่ละรายที่คลิกลิงก์หวังจะเข้าไปอ่านบทความจากเว็บไซต์เจ้าของบทความนั้นๆ ต้องรอเฉลี่ยประมาณ 8 วินาทีต่อการโหลดหน้าเว็บหนึ่งครั้งเลยทีเดียว
       
       โดยบริการ Instant Article นี้ยังอนุญาตให้เจ้าของบทความสามารถใส่คลิปวิดีโอลงในบทความที่เผยแพร่บนเฟซบุ๊กได้ด้วย รวมถึงอนุญาตให้สำนักพิมพ์สามารถใส่โลโก้ของบริษัทเอาไว้ที่ด้านบนของบทความทุกเรื่อง มีปุ่มฟอลโลว์ (Follow) เอาไว้ให้ผู้อ่านที่สนใจคลิก Subscribe หน้าแฟนเพจของสำนักพิมพ์นั้นๆ แถมยังอนุญาตให้ใส่ภาพของผู้เขียน และช่างภาพที่ถ่ายภาพประกอบบทความลงในบทความเหล่านั้นได้ด้วย ซึ่งหากผู้อ่านสนใจก็สามารถคลิกไปบนภาพของนักเขียน ช่างภาพได้ ระบบจะลิงก์ไปยังโปรไฟล์ของพวกเขาที่เผยแพร่ตามช่องทางต่างๆ ให้ด้วย ซึ่งในจุดนี้สามารถสร้างความแตกต่างที่เหนือกว่าสื่อสิ่งพิมพ์ได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้มีผู้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับเฟซบุ๊กในครั้งนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะรู้สึกกลายๆ ว่า ถูกมัดมือชกให้ต้องพึ่งพิงแพลตฟอร์มของเฟซบุ๊กก็ตาม
       
       ข้อดีอีกประการหนึ่งของการอ่านบนเฟซบุ๊กที่นอกเหนือจากการไม่ต้องรอโหลดหน้าเว็บนานแล้ว อาจเป็นเรื่องของโฆษณาที่จะไม่ได้ถูกโหลดตามมาเหมือนกับการเปิดเข้าไปอ่านจากหน้าเว็บไซต์ด้วยนั่นเอง (ซึ่งนี่เป็นอีกเหตุผลหลักว่า ทำไมยูสเซอร์ต้องรอถึงกว่า 8 วินาทีกว่าจะโหลดหน้าที่ตนเองต้องการมาอ่านในเครื่องได้)
       
       ในส่วนของเนื้อหาบทความนั้น สำนักพิมพ์สามารถใส่แกลลอรีภาพ คลิปวิดีโอ รวมถึงภาพกราฟิกแบบอินเทอร์แอ็กทีฟลงไปได้ด้วย ทั้งหมดนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า เฟซบุ๊กกำลังจะกลายเป็นฟอร์แมตของสื่อสิ่งพิมพ์ยุคใหม่ไปแล้วโดยปริยาย
       
       ไม่เพียงเท่านั้น เฟซบุ๊กยังสามารถสร้างระบบให้เสียงประกอบภาพถ่าย หรือหากจิ้มไปที่ภาพ กสามารถลิงก์ไปยังสถานที่ที่ภาพนั้นๆ ถูกถ่ายได้ด้วย แถมเพื่อนๆ ยังสามารถเห็นว่าผู้ใช้มีการคลิก Like หรือคอมเมนต์บนภาพ เรื่องราวต่างๆ ได้อีกต่างหาก
       
       สำหรับสื่อยักษ์ใหญ่ที่เข้าร่วมนอกจากสามรายชื่อที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมี The Atlantic, NBC News, BBC และเดอะการ์เดียน ที่เข้าร่วมกับเฟซบุ๊ก ซึ่งการเปิดตัวในครั้งนี้จะเปิดให้แก่ผู้ใช้บนแพลตฟอร์ม iOS ก่อน ส่วนแอนดรอยด์นั้นต้องร้องเพลงรออีกสักระยะ
       
       Declan Moore ผู้บริหารระดับสูงด้านสื่อของเนชั่นแนล จีโอกราฟิก ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 35 ล้านคนบนเฟซบุ๊ก เผยว่า เขาตระหนักดีว่าการที่เฟซบุ๊กเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้เผยแพร่ข่าวสารนั้นได้สร้างความวิตกกังวลให้เกิดขึ้นในหมู่ผู้ผลิตสื่อ แต่การได้ร่วมงานกับเฟซบุ๊กก็เป็นสิ่งที่องค์กรให้ความสำคัญ 

ที่มา: http://manager.co.th/CyberBiz/default.html

ETDA เร่งพัฒนาคนไซเบอร์หลังพบไทยยังด้อยกว่าเพื่อนบ้าน

ETDA เร่งพัฒนาคนไซเบอร์หลังพบไทยยังด้อยกว่าเพื่อนบ้าน
นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สพธอ.หรือ ETDA
        ETDA พร้อมผลักดันให้บุคลากรไทยได้รับการรับรองด้าน Cybersecurity มากขึ้น หลักพบไทยยังมีบุคลากรด้านนี้ตามหลังสิงคโปร์หลักพันคน เผยที่ผ่านมา ได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการจัดอบรม และสอบจนได้ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ หรือ iSEC มาแล้ว 73 คน และพร้อมจะดันให้ทะลุ 200 คน ภายใน 2 ปี ก่อนจะผลักดันให้ไปสอบเพื่อรับใบรับรองในระดับอินเตอร์ต่อไป
       
       นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สพธอ. หรือ ETDA กล่าวว่า ETDA พร้อมผลักดันให้บุคลากรของไทยมีความสามารถในการรับมือต่อภัยคุกคามทางด้านไซเบอร์ และเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบใบรับรองสมรรถนะผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ หรือ iSEC เพื่อเพิ่มบุคลากรทางด้านนี้มากขึ้น โดยจากการอบรมที่รุ่นที่ผ่านมา จำนวนทั้งสิ้น 270 คน มีผู้อบรมผ่านใบรับรอง iSEC จำนวน 73 คน ซึ่ง ETDA ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มบุคลากรในด้านนี้ให้ได้ 200 คน ภายใน 2 ปี
       
       ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับใ[รับรองดังกล่าวทาง ETDA จะผลักดันให้เข้าไปอบรมในหลักสูตรการรับรองด้าน Certified information System Security Professional หรือ CISSP ของ International Information System Security Professional หรือ ISC ที่ในปัจจุบันไทยยังมีบุคลากรทางด้านนี้น้อยมาก ตามหลังมาเลเซีย และสิงคโปร์อยู่มาก โดยผู้ที่ได้รับการรับรองของไทยล่าสุดเมื่อ 1 พ.ค.2558 นั้น ไทยได้รับเพียง 174 คนเท่านั้น ในขณะที่มาเลเซียมี 260 คน ส่วนสิงคโปร์มีถึง 1,296 คน
       
       “ผลสำรวจของ ISC ในปี 2014 พบว่า บุคลากรด้าน Cybersecurity ทั่วโลกยังมีจำนวนไม่เพียงพอ และมีความต้องการบุคลากรเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับบุคลากรของไทยที่ยังมีบุคลากรทางด้านนี้น้อย และยังจำเป็นต้องมีการผลักดันในเรื่องนี้เพิ่มขึ้นอีกมาก ทำให้ที่ผ่านมา ETDA ต้องดำเนินการผลักดัน และพัฒนาบุคลากรในเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง”
       
       นางสุรางคณา กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ทำการสนับสนุนให้สมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ (Thailand Information Security Association) หรือ TISA ในการจัดอบรมและพัฒนาหลักสูตรผู้เชี่ยวชาญการจัดหลักสูตรร่วมกับหน่วยงานที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ รวมไปถึงการจัดอบรม และสอบสมรรถนะหลักสูตรที่จะช่วยให้ผู้ที่เข้ารับการอบรมจะได้รับหลักสูตร จะได้รับใบรับรองสมรรถนะผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยสารสนเทศ หรือ iSEC ซึ่งได้จัดอบรมไปแล้ว 4 รุ่น แบ่งเป็น iSEC ด้านการบริหารจัดการ 39 คน และด้านเทคนิค 34 คน รวม 73 คน โดยผู้ที่ผ่านหลักสูตรเหล่านี้ทาง ETDA ได้สนับสนุนให้ไปอบรมหลักสูตร CISSP ของ ISC และสอบผ่าน 12 คน จากจำนวนทั้งสิ้น 15 คน
       
       ด้าน พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน นายกสมาคม TISA กล่าวว่า การร่วมมือกับ ETDA ในการพัฒนาหลักสูตร iSEC นั้น นอกจากจะเป็นการพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลแล้ว ยังจะถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประเทศอีกด้วย เนื่องจากที่ผ่านมา ประเทศไทยยังมีช่องโหว่ให้แฮกเกอร์เข้ามาเจาะระบบ ในขณะที่บุคลากรที่จะเข้ามาดำเนินการควบคุมทางด้านนี้ก็ยังไม่ดีเพียงพอ ดังนั้น การร่วมกันจัดหลักสูตรในครั้งนี้ถือเป็นก้าวหนึ่งในการผลักดันให้ไทยมีมาตรฐานในด้านนี้ และสร้างให้บุคลากรมีความพร้อมที่จะรับมือเพิ่มมากขึ้น
       
       Company Related Link :
       ETDA

ที่มา: http://manager.co.th/CyberBiz/default.html

สำรวจชี้ “ผู้ขับรถ” เล่นทั้งโซเชียล เซลฟี่ ถ่ายวิดีโอด้วยมือถือ

ไม่ใช่แค่ส่งข้อความ สำรวจชี้ “ผู้ขับรถ” เล่นทั้งโซเชียล เซลฟี่ ถ่ายวิดีโอด้วยมือถือ
        การสำรวจพฤติกรรมผู้ขับขี่รถครั้งล่าสุดในสหรัฐฯ พบว่า ไม่เพียงโทรศัพท์ และส่งข้อความ กิจกรรมขณะขับรถของชาวอเมริกันจำนวนหนึ่งตะลุยเล่นทั้งเฟซบุ๊ก (Facebook), สแนปแชต (Snapchat) และทวิตเตอร์ ขณะเดียวกัน ก็ถ่ายภาพตัวเอง หรือเซลฟี่ (selfie) รวมถึงการพยายามถ่ายวิดีโอด้วย
       
       การสำรวจครั้งนี้ดำเนินการโดยโอเปอเรเตอร์รายใหญ่ในแดนลุงแซม อย่างเอทีแอนด์ที (AT&T) แม้จะเป็นบริษัทโทรคมนาคม แต่ AT&T ลุยทำแคมเปญบริการสังคมในชื่อ “อิท แคน เว็ต (It Can Wait)” เพื่อรณรงค์ให้ผู้ขับขี่รถคำนึงถึงความปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเจ้าภาพการสำรวจครั้งนี้คือ บริษัทวิจัยบราอันรีเสิร์ช (Braun Research) ซึ่งสัมภาษณ์เจ้าของสมาร์ทโฟนที่ขับขี่รถอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง จำนวน 2,067 คน
       
       การสำรวจพบว่า 27% ของผู้ขับรถอเมริกันที่มีอายุ 16 ถึง 65 ปี ยอมรับว่าใช้เครือข่ายสังคมอย่าง Facebook และ 14% มีการใช้งาน Twitter โดย 30% ของกลุ่มผู้เคยโพสต์ข้อความบน Twitter ขณะขับรถบอกว่า ลงมือโพสต์ไปด้วยขับรถไปด้วยเป็นปกติตลอดเวลา
       
       กลุ่มตัวอย่าง 1 ใน 10 ระบุว่า ใช้บริการแชตผ่านวิดีโอขณะขับรถ ขณะที่ 17% ถ่ายเซลฟี่ ซึ่งแปลว่าสายตาของผู้ขับขี่รถไม่ได้มองไปที่ท้องถนนแน่นอน
       
       การสำรวจสรุปว่า กิจกรรมยอดฮิตบนสมาร์ทโฟนของผู้ขับขี่ยังเกี่ยวข้องต่อการพิมพ์ข้อความ โดยมีสถิติผู้ใช้งาน 61% สำหรับผู้ขับที่มักส่งอีเมลคือ 33% และ 28% ใช้เวลาท่องเน็ตเล่นเว็บ ขณะที่ 10% ใช้เครือข่ายสังคมภาพอย่างอินตสาแกรม (Instagram) และ Snapchat
       
       หากมีการสำรวจในเมืองไทย ไม่แน่ว่าผลการศึกษาที่ได้อาจจะไม่หนีไปจากสหรัฐอเมริกาเท่าใดนัก 

ที่มา: http://manager.co.th/CyberBiz/default.html

Apple คลอด MacBook Pro 15 นิ้วใหม่ พร้อม iMac จอ Retina 5K

Apple คลอด MacBook Pro 15 นิ้วใหม่ พร้อม iMac จอ Retina 5K
สินค้ากลุ่ม MacBook Pro ขนาด 13 นิ้วและ 15 นิ้ว
        แอปเปิล (Apple) เจ้าพ่อไอทีอเมริกัน ปรับแผนขายคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นใหม่ 2 รุ่นรวด จัดเต็มแผงแทร็กแพดเทคโนโลยีใหม่ให้ “แมคบุ๊กโปร (MacBook Pro)” ขนาดหน้าจอ 15 นิ้ว ขณะเดียวกัน ก็หั่นราคา “ไอแมค (iMac)” ที่มาพร้อมหน้าจอคมชัด “เรตินา (Retina 5K)” ขนาด 27 นิ้วลง 200 เหรียญ
       
       คอมพิวเตอร์แมคอินทอชตั้งโต๊ะหน้าจอ Retina 5K ขนาด 27 นิ้วรุ่นใหม่จะวางจำหน่ายในราคา 2,299 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 74,000 บาท) ถือเป็นราคาที่ลดลงจากรุ่นก่อนหน้า 200 เหรียญแม้จะมีคุณสมบัติส่วนใหญ่เหมือนกัน โดยแอปเปิลไม่ลืมที่จะนำไดรฟ์เทคโนโลยีฟิวชัน (Fusion) มาติดไว้ให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงไฟล์ในเครื่องได้ด้วยความเร็วสูง ฟิวชันไดรฟ์ในไอแมครุ่นใหม่มีขนาด 1TB
       
       สำหรับแมคอินทอชพกพารุ่นใหญ่ MacBook Pro ขนาด 15 นิ้ว แอปเปิลตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 1,999 เหรียญสหรัฐ (ราว 64,000 บาท) แอปเปิลจัดหน่วยประมวลผลที่แรงยิ่งกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 2 เท่าตัว ขณะเดียวกัน ก็เพิ่มแทร็กแพดเทคโนโลยีใหม่ชื่อฟอร์สทัช (Force Touch) ซึ่งแอปเปิลการันตีว่า สามารถจำแนกความหนักเบาของการแตะนิ้วคลิกได้ รวมถึงการรองรับรูปแบบการวาดมือเพื่อใช้งานแมคที่สะดวกกว่าเดิม
       
       การเปิดตัวสินค้าใหม่ครั้งนี้ของแอปเปิลไม่ได้มีการจัดงานแถลงข่าวใหญ่โต มีเพียงการวางจำหน่ายสินค้าเหล่านี้บนเว็บไซต์แอปเปิลเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การปรับทัพสินค้ากลุ่มแมคอินทอชครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เนื่องจากความสำคัญของเทคโนโลยีอย่าง Force Touch นั้นถือเป็นกลยุทธ์ท่าไม้ตายล่าสุดในการทำตลาดไลน์สินค้า MacBook ของแอปเปิล 
Apple คลอด MacBook Pro 15 นิ้วใหม่ พร้อม iMac จอ Retina 5K
iMac
        ปัจจุบัน สินค้ากลุ่ม MacBook Pro จะมีขนาดเริ่มต้นที่ 13 นิ้ว ก่อนจะกระโดดไปที่ 15 นิ้ว จุดนี้ Force Touch จะเป็นจุดแบ่งแยก MacBook Pro รุ่นใหม่และเก่า ทั้งหมดนี้ผู้บริหารแอปเปิลการันตีว่า MacBook รุ่นใหม่จะมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ต่อเนื่องที่ยาวนานยิ่งขึ้น
       
       ฟิลลิป สคิลเลอร์ (Philip Schiller) รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดของแอปเปิล ระบุว่า หน่วยเก็บข้อมูลใหม่ของ MacBook Pro สามารถทำงานได้เร็วกว่ารุ่นเก่าถึง 2.5 เท่าตัว ขณะที่อายุการใช้งานแบตเตอรี่ต่อเนื่อง 9 ชั่วโมง โดยชิปกราฟิกของเอเอ็มดี (Advanced Micro Devices Radeon R9 M370X) ทำให้การทำงานของโปรแกรมตัดต่อวิดีโอ หรือการสร้างภาพ 3 มิติรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่า 80%
       
       สำหรับ iMac ใหม่พร้อมจอ Retina 5K ความละเอียด 5,120x2,880 พิกเซลนั้นเริ่มที่ชิปควอดคอร์ 3.3 gigahertz Intel Core i5 มาพร้อมพอร์ต USB 3.0 จำนวน 4 พอร์ต และพอร์ต Thunderbolt 2 จำนวน 2 พอร์ต คุณสมบัติส่วนใหญ่ถอดมาจาก iMac หน้าจอ Retina 5K ที่เป็นรุ่นใหญ่ซึ่งแอปเปิลเปิดตัวสุดฮือฮาเมื่อปี 2014 ที่ผ่านมา

ที่มา: http://manager.co.th/CyberBiz/default.html

LINE เผยยอดขายครีเอเทอร์สติกเกอร์ทั่วโลก 1 ปีแรกทะลุ 2.6 พันล้านบาท

LINE เผยยอดขายครีเอเทอร์สติกเกอร์ทั่วโลก 1 ปีแรกทะลุ 2.6 พันล้านบาท
        LINE คอร์เปอร์เรชั่น ประกาศยอดการใช้และยอดขายปีแรกของ LINE ครีเอเทอร์มาร์เกต มากกว่า 2.6 พันล้านบาท หลังจากเปิดตัวครบ 1 ปี ระบุชัด 10 สุดยอดนักออกแบบมีรายได้เฉลี่ย 32 ล้านบาทต่อคน
       
       LINE คอร์เปอร์เรชั่น เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีครีเอเทอร์สติกเกอร์มากกว่า 100,000 เซต นับตั้งแต่เริ่มเปิดขายเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2557 จนถึงวันที่ 7 พฤษภาคม 2558 โดยหลังจากเปิดตัวได้ 1 ปี ตลาดครีเอเทอร์มีจำนวนผู้ลงทะเบียนทั้งหมดมากกว่า 390,000 คน จากกว่า 156 ประเทศทั่วโลก (40,897 คน จากประเทศไทย) ที่ส่งผลงานเข้ามาและได้วางขายสติกเกอร์เซ็ตของตนเองแล้วอย่างมากมาย ทำให้ยอดขายทั่วโลกทะลุถึง 2.68 พันล้านบาท (8.94 พันล้านเยน)
       
       โดยรายได้เฉลี่ยของ 10 อันดับสติกเกอร์เซตที่ขายดีที่สุดสูงถึง 15 ล้านบาท (50.5 ล้านเยน) ซึ่งนักออกแบบมากมายออกแบบ และขายสติกเกอร์ของตนเองมากกว่า 1 เซต ส่วนรายได้เฉลี่ยของ 10 สุดยอดนักออกแบบสูงถึง 32 ล้านบาท (109 ล้านเยน) ต่อคน ขณะที่นักออกแบบบางรายสามารถทำรายได้มากกว่า 30 ล้านบาท (100 ล้านเยน) จากการขายสติกเกอร์ครั้งแรก คาแร็กเตอร์จากครีเอเทอร์สติกเกอร์ถูกนำไปต่อยอดโดยการผลิตเป็นสินค้าต่างๆ รวมถึงทำให้นักออกแบบได้มีโอกาสร่วมงานต่อบริษัทใหญ่ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แพลตฟอร์มสติกเกอร์เป็นแหล่งรวมความคิดสร้างสรรค์ และแหล่งบ่มเพาะไอเดียใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
       
       ขณะที่ในอนาคต LINE ครีเอเทอร์มาร์เกต วางแผนที่จะเพิ่มเติม และพัฒนาระบบการจัดการ เพื่อให้การทำสติกเกอร์ รวมไปถึงการค้นหาสติกเกอร์แต่ละชุดในระบบเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เพื่อส่งเสริมนักออกแบบ และทำให้ผู้ใช้ LINE ซื้อสติกเกอร์ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
       
       LINE ครีเอเทอร์มาร์เกต (LINE Creators Market: https://creator.line.me.) ได้กลายมาเป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้ผู้ใช้ทั่วโลกสามารถสร้างสรรค์ผลงานสติกเกอร์ของตนเองเพื่อขายใน LINE ได้ หลังจากผ่านการรีวิวจาก LINE ตามขั้นตอน ซึ่งสติกเกอร์จะมีวางจำหน่ายทั้งในไลน์ สโตร์ (https://store.line.me) และสติกเกอร์ชอปในแอปพลิเคชัน LINE โดยผู้ออกแบบจะได้รับรายได้ประมาณ 50% จากยอดขายสติกเกอร์หลังจากหักค่าบริการของ App Store, Google Play หรือการหักค่าบริการของแอปชอปอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

Company Related Link :
       Line Creator
ที่มา: http://manager.co.th/

รัสเซียเมินเทคโนโลยีสหรัฐฯ หันพัฒนา OS สมาร์ทโฟนใช้เอง

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
รัสเซียเมินเทคโนโลยีสหรัฐฯ หันพัฒนา OS สมาร์ทโฟนใช้เอง
รัสเซียเตรียมสร้างระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ทโฟน “ของตัวเอง” ขึ้นใช้งาน โดยหวังลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากชาติตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา 
       
       รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารของรัสเซีย อย่าง Nikolai Nikiforo ประกาศแผนลดการใช้งานแพลตฟอร์ม iOS ของแอปเปิล และแพลตฟอร์มแอนดรอยด์ของกูเกิล ด้วยการเปิดตัวซอฟต์แวร์ใหม่สำหรับใช้งานภายในประเทศ โดยซอฟต์แวร์ดังกล่าวพัฒนาต่อมาจาก “Sailfish” ระบบปฏิบัติการแบบบโอเพ่นซอร์สผลงานการพัฒนาของบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนสัญชาติฟินแลนด์อย่าง Jolla ที่อดีตชาวโนเกียคงรู้จักกันดีนั่นเอง
       
       รัฐมนตรี Nikiforo ได้ให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์รายวัน RBC ของรัสเซีย โดยเผยว่า เขาต้องการให้ประเทศรัสเซียลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติให้เหลือเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ภายในระยะเวลา 10 ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 95 เปอร์เซ็นต์
       
       ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผลพวงจากการที่รัสเซียถูกชาติตะวันตก>>>จากเหตุการณ์ในไครเมียร์ อีกประการหนึ่งอาจมาจากความต้องการมีซอฟต์แวร์ที่ตนเองสามารถเชื่อถือได้ นั่นก็คือ ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองภายในประเทศ ซึ่งไม่สามารถถูกรัฐบาลสหรัฐอเมริกาแทรกแซงได้นั่นเอง
       
       โดยก่อนหน้านี้ บริษัทแอปเปิล และ SAP ได้เคยปฏิเสธการร้องขอให้เปิดเผยซอร์สโค้ดซอฟต์แวร์ต่อรัฐบาลรัสเซียมาแล้ว นั่นทำให้ทางการรัสเซียเลือกใช้ทางออกสุดท้าย คือ การพัฒนาระบบของตัวเองขึ้นใช้ในสมาร์ทโฟนโดยไม่สนกระแสโลกเสียเลย
       
       อย่างไรก็ดี Sailfish ยังมีการใช้งานที่น้อยมากในรัสเซีย ปัจจุบัน มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าระบบปฏิบัติการของไมโครซอฟท์ และแบล็กเบอร์รี่เสียอีก แต่ทางการรัสเซียก็เตรียมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ด้วยการจ่ายเงินอัดฉีดให้นักพัฒนาภายในประเทศหันมาพัฒนาแอปบนแพลตฟอร์ม Sailfish กันอย่างเต็มที่ 

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://manager.co.th/

เฟซบุ๊ก (Facebook) ประกาศรับ “Head of Thailand” ขอคนมีประสบการณ์ด้านมาร์เกตติ้ง 10 ปีขึ้นไป

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เฟซบุ๊กประกาศรับ “Head of Thailand” แล้วจ้า
เฟซบุ๊ก (Facebook) ประกาศรับ “Head of Thailand” ขอคนมีประสบการณ์ด้านมาร์เกตติ้ง 10 ปีขึ้นไป บวกต้องมีความรู้ความเข้าใจในโซเชียลมีเดียสูง
       
       ใครอยากเป็นเบอร์หนึ่งของเฟซบุ๊กไทยแลนด์ ถึงเวลาแสดงตนแล้ว เพราะยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดีย ประกาศหาผู้เหมาะสม โดยกำหนดคุณสมบัติไว้ว่าต้องมีประสบการณ์ด้านการตลาด หรืออยู่ในแวดวงการขายสื่อ การโฆษณาบนโลกออนไลน์ 10 ปีขึ้นไป แถมด้วยประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการ และการเป็นผู้นำ 3 ปีขึ้นไปด้วย
       
       สำหรับหน้าที่หลักของผู้จะมาเป็นเฮด คือ การวางกลยุทธ์ทางธุรกิจสำหรับประเทศไทย และให้สนับสนุนบริษัทแม่ รวมถึงให้การดูแลลูกค้าทางธุรกิจ นอกจากนั้น ยังต้องพัฒนาบริการขาย และบริการสำหรับเฟซบุ๊ก ซึ่งผู้ที่จะมารับหน้าที่นี้ได้ต้องมีความรู้ความเข้าใจในงานด้านโฆษณาและเอเยนซีสูง
       
       นอกจากจะมีความรู้ความเข้าใจในแวดวงเอเบนซีอย่างสูงแล้ว ยังต้องมีสัมพันธ์อันดีกับบรรดานักการตลาดระดับบนด้วย
       
       อีกข้อหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการเข้ามาเป็นเฮดของเฟซบุ๊กประจำประเทศไทยคือ การเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค และเข้าใจว่าเทคโนโลยีทำงานอย่างไร และที่ลืมไม่ได้คือ ต้องมีความสามารถทางการสื่อสารที่ดี ทั้งไทย และอังกฤษ รวมถึงความสามารถในการนำเสนองาน
       
       ใครสนใจสมัครตำแหน่งนี้ สามารถเข้าไปติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://manager.co.th/CyberBIZ

บริษัท Automattic ผู้สร้าง WordPress ซื้อกิจการ WooCommerce

บริษัท Automattic ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ WordPress และผู้ให้บริการ WordPress.com ประกาศข่าวการซื้อกิจการบริษัท WooThemes ผู้พัฒนาปลั๊กอินสำหรับอีคอมเมิร์ซชื่อดัง WooCommerce
ปัจจุบัน WooCommerce ถือเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของโลก WordPress โดยมียอดดาวน์โหลด 7.5 ล้านครั้ง และมีเว็บไซต์มากกว่า 1 ล้านแห่งใช้ระบบของ WooCommerce (ความนิยมแซงหน้า Magento แล้ว)
WooThemes เปิดกิจการมาตั้งแต่ปี 2008 ปัจจุบันมีพนักงาน 55 คนกระจายอยู่ใน 20 ประเทศ บริษัทบอกว่าได้รับข้อเสนอซื้อจากบริษัทใหญ่หลายราย แต่พบว่าบริษัท Automattic ของ Matt Mullenweg ผู้สร้าง WordPress นั้นมีภารกิจและวิสัยทัศน์ตรงกันมากที่สุด ส่วนมูลค่าการซื้อกิจการครั้งนี้ไม่เปิดเผย แต่ Re/code อ้างแหล่งข่าววงในว่าอยู่ที่ 30 ล้านดอลลาร์
WooThemes สัญญาว่าลูกค้าที่ซื้อปลั๊กอินและธีมไปแล้วจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เพราะบริษัทจะทำธุรกิจต่อไปตามปกติ
ขอบคุณข้อมูลจาก: www.blognone.com